0 Ratings

เพิ่มไปรายการที่ชอบ

สำนักพิมพ์ :

ผู้แต่ง :

ราคา

ซื้อฉบับนี้ : 100.00 ฿

เกี่ยวกับ

บทที่ ๑ กฎธรรมชาติ – กฎมนุษย์ กฎธรรมชาติ พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์หรือสิ่งของ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นวัตถุหรือเป็นเรื่องจิตใจ ไม่ว่าชีวิตหรือโลกที่แวดล้อมอยู่ก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย เป็นเรื่องของปัจจัยสัมพันธ์ ธรรมดาที่ว่านี้มองด้วยสายตาของมนุษย์เรียกว่า “กฎธรรมชาติ” เรียกในภาษาบาลีว่า “นิยาม” แปลว่า กำหนดอันแน่นอน ทำนองหรือแนวทางที่แน่นอน หรือความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอน เพราะปรากฏให้เห็นว่า เมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างนั้น ๆแล้ว ก็จะมีความเป็นไปอย่างนั้น ๆแน่นอน กฎธรรมชาติหรือนิยามนั้น แม้จะมีลักษณะทั่วไปอย่างเดียวกันทั้งหมด คือ ความเป็นไปตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย แต่ก็อาจแยกประเภทออกไปได้ตามลักษณะอาการจำเพาะที่เป็นแนวทางหรือเป็นแบบหนึ่ง ๆของความสัมพันธ์ อันจะช่วยกำหนดศึกษาได้ง่ายขึ้น เมื่อว่าตามสายความคิดของพระพุทธศาสนา พระอรรถกถาจารย์แสดงกฎธรรมชาติไว้ ๕ อย่าง คือ ๑. อุตุนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฝ่ายวัตถุ โดยเฉพาะความเป็นไปของธรรมชาติแวดล้อมและความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ เช่น เรื่องลมฟ้าอากาศ ฤดูกาล ฝนตกฟ้าร้อง การที่ดอกบัวบานกลางวันหุบกลางคืน การที่ดินน้ำปุ๋ยช่วยให้ต้นไม้งาม การที่คนไอหรือจาม การที่สิ่งทั้งหลายผุพังเน่าเปื่อย เป็นต้น แนวความคิดของท่านมุ่งเอาความผันแปรที่เนื่องด้วยความร้อนหรืออุณหภูมิ ๒. พีชนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ หรือที่เรียกกันว่า พันธุกรรม เช่น หลักความจริงที่ว่าพืชเช่นใดก็ให้ผลเช่นนั้น พืชมะม่วงก็ออกผลเป็นมะม่วง เป็นต้น ๓. จิตตนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต เช่น เมื่ออารมณ์ (สิ่งเร้า) กระทบประสาทจะมีการรับรู้เกิดขึ้น จิตจะทำงานอย่างไร คือ มีการไหวแห่งภวังคจิต ภวังคจิตขาดตอน แล้วมีอาวัชชนะ แล้วมีการเห็น การได้ยิน ฯลฯ มีสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ฯลฯ หรือเมื่อจิตที่มีคุณสมบัติอย่างนี้เกิดขึ้นจะมีเจตสิกอะไรบ้าง ประกอบได้หรือประกอบไม่ได้ เป็นต้น ๔. กรรมนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการก่อการกระทำและการให้ผลของการกระทำหรือพูดให้จำเพาะลงไปอีกว่า กระบวนการแห่งเจตน์จำนงหรือความคิดปรุงแต่งสร้างสรรค์ต่าง ๆพร้อมทั้งผลที่สืบเนื่องออกไปอันสอดคล้องสมกัน เช่น ทำกรรมดีมีผลดี ทำกรรมชั่วมีผลชั่ว เป็นต้น ๕. ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กันของสิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างที่เรียกกันว่า ความเป็นไปตามธรรมดา เช่นว่า สิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา คนย่อมมีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ธรรมดาของคนยุคนี้มีอายุขัยประมาณร้อยปี ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลายที่เป็นสภาพไม่เที่ยง ถูกปัจจัยบีบคั้นและไม่เป็นอัตตา ดังนี้เป็นต้น ความจริงกฎ ๔ อย่างแรกย่อมรวมลงในกฎที่ ๕ คือ ธรรมนิยามทั้งหมดหรือจำแนกออกไปจากธรรมนิยามนั่นเอง หมายความว่า ธรรมนิยามมีความหมายครอบคลุมกฎธรรมชาติหมดทั้ง ๕ ข้อ อาจมีผู้สงสัยว่าธรรมนิยามเป็นกฎใหญ่ เมื่อเอามากระจายเป็นกฎย่อยก็น่าจะกระจายออกไปให้หมด เหตุไรเมื่อแจงเป็นกฎย่อยแล้วยังมีธรรมนิยามอยู่ในรายชื่อกฎย่อยอีกด้วยเล่า คำตอบสำหรับความข้อนี้พึงทราบด้วยอุปมาเหมือนคนทั้งหมดในประเทศไทยนี้ บางทีมีผู้พูดจำแนกออกว่า องค์พระประมุข รัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนบ้าง ว่าตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักศึกษาและประชาชนบ้าง ว่าอย่างอื่นอีกบ้าง ความจริงคำว่าประชาชนย่อมครอบคลุมคนทุกหมู่เหล่าในประเทศ แต่ที่พูดแยกออกไปก็เพราะว่า คนเหล่านั้นนอกจากจะมีลักษณะหน้าที่โดยทั่วไปในฐานะประชาชนเหมือนคนอื่น ๆแล้ว ยังมีลักษณะหน้าที่จำเพาะพิเศษต่างหากออกไปอีกส่วนหนึ่งด้วย ส่วนคนที่ไม่มีลักษณะหรือหน้าที่จำเพาะพิเศษแปลกออกไปก็รวมอยู่ในคำว่าประชาชน เรื่องนิยาม ๕ ก็พึงเข้าใจความทำนองเดียวกันนี้ อนึ่ง พึงมีข้อสังเกตหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธองค์ทรงเลือกสอนโดยเน้นเรื่องกรรมนิยาม จิตนิยามและธรรมนิยามเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องอุตุนิยามกับพีชนิยามได้ทรงสอนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ และเป็นความรู้ที่ก่อให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะในจิตใจมนุษย์ที่เรียกว่า “ตัณหา” มากยิ่งขึ้น ซึ่งต่างจากนักวิทยาศาสตร์ที่มุ่งศึกษาเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามเป็นหลัก ไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องกรรมนิยาม จิตนิยามและธรรมนิยามมากนัก อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามที่เป็นจุดเน้นของวิทยาศาสตร์เสียทีเดียว เนื่องจากในความเป็นจริงกฎทั้งห้าล้วนสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับนิยาม ๕ ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น โรคเอดส์เป็นเชื้อไวรัสที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ตามกฎพีชนิยาม แต่เมื่อมนุษย์เสื่อมจากศีลธรรมเพราะมีโมหะหรืออวิชชา โรคระบาดจึงเป็นผลตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดน้ำท่วม ฝนไม่ตก ซึ่งเป็นกรรมนิยามที่สะท้อนมาจากพีชนิยาม ปรากฏการณ์คลื่นสึนามิก็เป็นอุตุนิยาม แต่เมื่อมีคนเสียชีวิตเกิดความเศร้าสลดก็จะกระทบต่อจิตนิยาม หรือการที่เราปวดศีรษะอาจมีสาเหตุจากนิยามใดก็ได้ ถ้าเป็นการปวดศีรษะจากการติดเชื้อในสมอง ถือเป็นพีชนิยาม หากปวดศีรษะจากการอยู่ในสถานที่อับร้อน อากาศไม่ถ่ายเท ถือเป็นอุตุนิยาม แต่ถ้าปวดศีรษะจากความกลุ้มใจ กังวลใจ ถือเป็นกรรมนิยาม เป็นต้น กฎมนุษย์ คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือที่เรียกว่า “ธรรมวินัย” นั้น แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ คำว่า “ธรรม” ซึ่งหมายถึง ความจริงตามธรรมชาติ หรือ “กฎธรรมชาติ” และคำว่า“วินัย” ซึ่งหมายถึง สิ่งที่มนุษย์จัดตั้งขึ้นเอง หรือ “กฎมนุษย์” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสมมุติ ตัวอย่าง เช่น เมื่อคนต้องการทำสวนก็จะนำต้นไม้มาปลูก การทำสวนนี้เป็นเหตุ และจะทำให้เกิดผลคือต้นไม้เจริญงอกงาม อันนี้คือเหตุและผลอันเป็นความจริงตามกฎธรรมชาติ ต่อมาหากเจ้าของสวนไปจ้างคนงานให้มาช่วยเหลือดูแลในการทำสวนโดยจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทน อันนี้เป็นกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นเอง โดยการสมมติขึ้นมาว่าเมื่อคนงานทำสวนแล้วก็จะได้เงินตอบแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ที่การทำงานของคนสวนจะทำให้เกิดผล คือ มีเงินงอกเงยขึ้นมาต่างจากการเจริญเติบโตของต้นไม้อันเป็นกฎที่จริงแท้แน่นอน แท้จริงแล้วการที่เราวางกฎสมมติขึ้นมาก็เพราะเราต้องการผลตามกฎธรรมชาติ เพราะถ้าเราไม่ต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงามแล้วเราจะวางกฎมนุษย์ให้คนทำสวนได้เงินเดือนไปทำไม ดังนั้น มนุษย์จึงต้องตระหนักรู้อยู่เสมอว่าสิ่งต้องการที่แท้จริง คือ ความเป็นจริงตามธรรมชาติไม่ใช่ตามสิ่งสมมุติ หากมนุษย์ขาดปัญญาหรือหลงผิดมัวยึดติดในกฎสมมุติ ไม่เข้าถึงหรือไม่สามารถเชื่อมโยงให้เข้าถึงความจริงแห่งกฎธรรมชาติได้ ความวิปลาสทั้งของชีวิตและสังคมก็จะเกิดขึ้นทันที ทฤษฎีต่าง ๆที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมานั้น แท้จริงแล้วก็คือการพยายามที่จะเข้าถึงซึ่งความจริงที่เรียกกันว่า “ธรรมชาติ” นั่นเอง และจากทฤษฎีก็จะไปจัดโครงสร้างวางระบบกฎเกณฑ์ขึ้นในสังคมที่เรียกกันว่า “กฎหมาย” ขึ้นมา ซึ่งหากทฤษฎีนั้นไม่เข้าถึงธรรมคือแก่นแท้แห่งความจริงแล้ว ระบบที่จัดตั้งขึ้นมาบนฐานของทฤษฎีนั้นก็จะไม่สามารถให้ประโยชน์ที่แท้จริงยั่งยืนตามความต้องการของมนุษย์ได้ ดังนั้น นักนิติศาสตร์หรือฝ่ายนิติบัญญัติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะกฎหมายจะมีความสมบูรณ์ตามความมุ่งหมายได้ ย่อมต้องอาศัยผู้ร่างที่มีปัญญาพิเศษสามารถหยั่งรู้ถึงความจริงแห่งปัจจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกฎแห่งธรรมและนำมาเชื่อมโยงกับการสร้างระบบกฎหมายในสังคมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและอย่างประสานสอดคล้องกลมกลืนกันเพื่อให้ได้ผลจริงตามธรรมนั้นด้วย กฎแห่งธรรมชาตินั้นไม่มีผิด เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน แต่กฎของมนุษย์นั้นมีทางผิดพลาดได้ด้วยสาเหตุสำคัญ ๒ ประการ คือ ๑. ด้านปัญญา กล่าวคือ หากมนุษย์ไม่มีปัญญารู้เท่าทันทั่วถึงธรรม ไม่รู้ตัวธรรมที่เป็นความจริงในธรรมชาติ เป็นต้นว่า ไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตมนุษย์ ไม่เข้าใจเหตุปัจจัยในสังคมว่า เวลานี้สังคมเป็นอย่างไร มีปัญหาอย่างไร กลไกของปัญหาสังคมเป็นอย่างไร การทำเหตุปัจจัยอย่างนี้ ๆจะก่อให้เกิดผลในสังคมสะท้อนกันไปอย่างไร ฯลฯ ก็จะส่งผลให้การบัญญัติกฎหมายผิดพลาดได้ทันที ๒. ด้านเจตนา กล่าวคือ หากมนุษย์มีเจตนาที่แอบแฝง เช่น คิดจะหาจะเอาผลประโยชน์แก่ตัวหรือพวกพ้อง หรือคิดจะกลั่นแกล้งทำร้ายคนอื่น พวกอื่น ก็จะทำให้การบัญญัติกฎหมายผิดพลาดได้อีกเหมือนกัน บทวิเคราะห์ จากปรัชญาแนวคิดตามหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธดังที่กล่าวมา หากนำไปปรับวิเคราะห์กับวิกฤตปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นในสังคมโลกยุคปัจจุบันก็คงจะหาคำตอบได้ไม่ยากว่า ณ วันนี้ เวลานี้มนุษย์เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกฎธรรมชาติและกฎมนุษย์อย่างถ่องแท้ลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน เพียงใด เอาแค่เรื่อง “นิติบุคคล” ซึ่งเป็นบุคคลสมมุติที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมาเพียงเรื่องเดียว ก็ถูกพวกกลุ่มทุนนิยมทั้งหลายนำไปใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหง ทำลายล้างกันอย่างเลือดเย็น สร้างความวิปลาส ขาดสมดุลให้กับโลกมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล คน ๆเดียวมีทรัพย์สินเงินทองเป็นหมื่นล้านแสนล้าน ขณะที่ผู้คนอีกเป็นสิบเป็นร้อยล้านดำรงชีวิตอยู่อย่างอดอยากหิวโหย ไหนจะเรื่องของ“เงิน” ที่เจตนาของมนุษย์ยุคเริ่มแรกมีจุดประสงค์เพียงเพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนสิ่งจำเป็นสำหรับธรรมชาติของชีวิตมนุษย์เท่านั้น ไหนจะเรื่องของ“ยศ ตำแหน่ง” ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมเท่านั้นเอง แต่มนุษย์กลับหลงใหลได้ปลื้มยึดติดกับมันจนบาง ครั้งบางคนถึงขนาดลืมเพื่อนลืมฝูง ลืมพี่ลืมน้อง ลืมลูกลืมเมียหรือแม้กระทั่งลืมชาติลืมแผ่นดินเลยก็มี ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ภายใต้กฎเกณฑ์กติกาต่าง ๆที่มนุษย์ช่วยกันคิดค้นขึ้นมา โดยอ้างถ้อยคำสวยหรูว่าเพื่อ “การพัฒนา”และแนวคิดทฤษฎีที่เรียกว่า “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ซึ่งเน้นให้ความสำคัญสูงสุดกับสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในทางเศรษฐกิจนั้น ได้ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากมายมหาศาล เพราะมีการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเสพย์บริโภคอย่างกว้างขวางไร้ขอบเขต กงล้อแห่งกิเลสตัณหาของมนุษย์ทั้งโลกได้ถูกกระตุ้นให้ขับเคลื่อนหมุนเร็วและแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ จนยากที่จะมีพลังอำนาจ ใด ๆมายับยั้งหรือต้านทานไว้ได้ ซึ่งท้ายที่สุดผลร้ายย่อมหันกลับมาทำลายล้างมนุษย์เองดังที่ปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมายในปัจจุบัน หนทางรอดของมนุษย์โลกในอนาคตจึงได้แก่ การประสานงานร่วมมือกันเพื่อระดมความคิดความเห็น ระดมสติปัญญาในการศึกษาเรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องของกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติอย่างถ่องแท้ลึกซึ้งและพยายามสร้างกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ให้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์และอย่างประสานสอดคล้องกลมกลืนกันกับธรรมชาติ หากมนุษย์ยังเพิกเฉยละเลยและคิดคอยแต่จะแก่งแย่งแข่งขันทำลายล้างกัน มุ่งแต่จะเอาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องหรือประเทศของตน โดยไม่สนใจสุขทุกข์ของคนอื่นหรือประเทศอื่น รวมทั้งไม่คำนึงถึงผลกระทบเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว ความวิบัติหายนะคงเข้ามาเยือนมนุษย์ทั้งโลกภายในเวลาอันไม่ช้าไม่นานนี้อย่างแน่นอน สำหรับประเทศไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระพระพุทธศาสนา จึงควรที่จะรีบพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการเป็นผู้นำสังคมโลกให้ก้าวไปสู่ยุคแห่งจิตวิญญาณ นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเอาจริงเอาจัง อย่ามัวรอเดินตามหลังฝรั่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะหากทำเช่นนั้นกาลอาจสายเกินแก้และท้ายที่สุดเราอาจไม่สามารถสืบทอดรักษาศาสนาพุทธเอาไว้ได้ เพราะมีผู้รู้ทำนายไว้ว่าอีกประมาณ ๒๐๐ ปี ศาสนาพุทธจะไม่เจริญอยู่ในประเทศไทย เพราะฝรั่งจะเอาไปปฏิบัติ ไปเจริญงอกงามรักษาไว้ที่ต่างประเทศ กรณีองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสารสนเทศต่าง ๆหรือภาษาธรรมเรียกว่า อุตุนิยามและพีชนิยาม นั้น ต้องยอมรับความจริงว่า ในต่างประเทศโดยเฉพาะโลกตะวันตกเขาก้าวล้ำนำหน้าเราไปไกล บางสิ่งบางอย่างจึงมีความจำเป็นต้องเรียนรู้จากเขา แต่กรณีองค์ความรู้ในเรื่องของจิตตนิยาม กรรมนิยาม และธรรมนิยาม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์โลกในปัจจุบันและดูเหมือนว่าโลกจะยังแร้นแค้นขาดแคลนเป็นอย่างมากนั้น ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าไม่มีองค์ความรู้ใดในโลกที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน จากประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลกในอดีตที่ผ่านมา ผู้เขียนเชื่อว่าประเทศหรือเผ่าพันธุ์ต่าง ๆที่ได้รับการยอมรับว่ามีอารยธรรมที่สูงส่ง มีความเจริญรุ่งเรืองในเรื่องของศิลปวิทยาหรือศาสตร์สาขาแขนงต่าง ๆนั้น องค์ความรู้ส่วนใหญ่น่าจะได้มาจากการคิดค้นหรือการศึกษาหาความรู้โดยอาศัยพื้นฐานข้อมูลหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างภายในประเทศของเขาเอง แล้วสร้างสมประสบการณ์ส่งต่อให้ชนรุ่นหลังรุ่นต่อรุ่น เพื่อนำไปต่อยอดขยายแนวคิดและสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาให้พัฒนาก้าวหน้ายิ่ง ๆขึ้นไป ไม่น่าจะมีประเทศใดในโลกที่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้ด้วยการคอยแต่จะจ้องลอกเลียนแบบประเทศอื่น ๆโดยไม่สนใจประวัติศาสตร์ที่มาหรือมองข้ามภูมิปัญญารากเหง้าบรรพบุรุษของตนเองไป คำถามก็คือว่า ณ ขณะนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยทุกคนจะพร้อมใจกันเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำ หันกลับมามองสิ่งดี ๆมีคุณค่ามากมายที่มีอยู่ในบ้านเมืองเรา แล้วนำเอาสิ่งดี ๆเหล่านั้นมาเป็นรากฐานแนวทางในการสร้างชีวิต สร้างสังคม และสร้างโลกให้พัฒนาก้าวหน้าไปสู่สิ่งที่ถูกต้องดีงามและสร้างสรรค์ยิ่ง ๆขึ้นไป./ ---------------------- ฐานะของพระพุทธเจ้า คือ ผู้ค้นพบความจริง แล้วนำความจริงนั้นมาเปิดเผย แสดงให้ปรากฏ ดังพุทธพจน์ที่ว่า “อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ ฐิตา ว สา ธาตุ...” มีเนื้อความว่า “ตถาคต คือ พระพุทธเจ้า จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ความจริงก็คงอยู่เป็นกฎธรรมดา เป็นความแน่แน่นอนของธรรมชาติ ว่าดังนี้ ๆ” และทรงตรัสต่อไปว่า “ตถาคตมารู้ความจริง ค้นพบความจริงนี้แล้ว จึงบอกกล่าว เปิดเผย แสดง ชี้แจงทำให้เข้าใจง่าย ว่าดังนี้ ๆ” พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นผู้บัญญัติหรือเป็นผู้สร้างผู้บันดาลอะไรขึ้นมาจากความไม่มี พระองค์เพียงแต่แสดงความจริงที่มีอยู่ การที่พระองค์บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ก็เพื่อมาตรัสรู้เข้าถึงความจริงอันนี้ที่มีอยู่ตามธรรมดา ความจริงนี้มีอยู่ตามธรรมดาตลอดเวลา ไม่มีใครเสกสรรค์บันดาล ไม่มีผู้สร้าง เพราะถ้ามีผู้สร้างก็ต้องมีผู้ที่สร้างผู้สร้างนั้น ถ้าผู้สร้างมีได้เองก็แน่นอนเลยว่า สภาวธรรมก็มีอยู่ได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้าง มันไม่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครบิดผันเปลี่ยนแปลงมันได้ ผู้ใดมีปัญญาจึงจะรู้เข้าใจและใช้ประโยชน์มันได้ ปัญหาอยู่ที่ว่า เราไม่มีมีปัญญาที่จะรู้ เมื่อเราไม่รู้ความจริงที่เรียกว่ากฎธรรมชาตินี้ เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามความจริงของมัน เมื่อเราไม่รู้ความจริงของมันเราก็ปฏิบัติต่อมันไม่ถูก จึงเกิดปัญหาแก่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้น การรู้ความจริงของธรรมชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อเรารู้แล้ว เราก็จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง เหมือนกับในทางวิทยาศาสตร์ฝ่ายวัตถุ ที่ค้นพบความจริง คือ กฎธรรมชาติบางอย่างหรือบางส่วน เมื่อค้นพบแล้วก็นำเอากฎธรรมชาติส่วนนั้นมาใช้ทำอะไรต่าง ๆได้ เช่น การสร้างสิ่งประดิษฐ์ ต่าง ๆตั้งแต่เรือกลไฟ รถไฟ เรือบิน ตลอดจนคอมพิวเตอร์ ก็มาจากการรู้ความจริงของกฎธรรมชาติทั้งนั้น เมื่อรู้แล้วก็จัดการมันได้ เอามันมาใช้ประโยชน์ได้ ถ้าไม่รู้ก็ตัน ติดขัด มีแต่เกิดปัญหา เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์เอาแค่ความจริงของโลกวัตถุ ส่วนพระพุทธศาสนามองความจริงของโลกและชีวิตทั้งหมด... พระพรหมคุณาภรณ์

รายละเอียด

วันวางขาย :

จำนวนหน้า : 288 หน้า

ประเภทไฟล์ : PDF

ขนาดไฟล์ : 110.06 MB

ประเทศ : TH

ภาษา : Thai

จากผู้แต่ง

กำลังโหลด ...

จากสำนักพิมพ์ โสตถตา

กำลังโหลด ...

ให้ 5 คะแนน

ส่งคะแนน

ส่งรีวิว

popup